Skip to main content

ทำไม E-Book ถึงแพงกว่าหนังสือจริง และเราไม่ได้เป็นเจ้าของมัน

·2 mins

เคยไหมครับ? โดนป้ายยาหนังสือมาแล้วอยากรีบไปกดมาดองไว้ใน Kindle แต่พอเทียบราคาดีๆ กลับพบว่า..

“อห. ราคา E-Book ใน Kindle แพงกว่าหนังสือแปลเป็นเล่มๆที่ขายตามร้านแถวบ้านอีก!!” (นี่ยังไม่ได้ไปเทียบกับ app ส้มใส่ code ลดอีกนะ)

ระหว่างที่กำลังอึ้ง Youtube ที่แอบดักฟังผมอยู่(หยอกๆ) ก็ดันคลิปนี้ขึ้นมาที่หน้าแรก “Why is knowledge getting so expensive?” จากงาน TEDxPSU โดยคุณ Jeffrey Edmunds ผู้ที่ทำงานในห้องสมุดของ ม. Penn State

Edmunds เล่าได้เห็นภาพมากๆ ทั้งปัญหาที่เป็นตอนนี้ และแนวทางแก้ไข ไปดูเต็มๆได้ 15 นาทีเอง แต่เดี๋ยววันนี้ผมอยากหยิบประเด็นที่มันโดนเส้นกับตัวเองจริงๆคือ

นอกจาก E-Book จะมีราคาไม่ต่างกับหนังสือจริงๆหรือบางทีก็แพงกว่า จริงๆ เงินที่เราจ่ายไป มันไม่ใช่การซื้อหนังสือ แต่มันคือการซื้อ license เพื่อที่จะเข้าไปอ่านมันได้เฉยๆ

ปัญหาของ E-Book License #

“ถ้าอยู่ๆมีคนขับรถตู้มาที่ห้องสมุดของคุณแล้วบอกว่า ขอโทษนะครับคุณไม่สามารถอ่านหนังสือ 5,432 เล่มนี้ได้อีกต่อไป หนังจากนั้นก็ดึงหนังสือพวกนั้นลงจากชั้น ลากขึ้นรถตู้ แล้วขับจากไป”

ดูเหมือนเรื่องเล่าที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้จริงๆ ใช่ไหมครับ แต่มันจริงน่ะสิ E-Book ที่ห้องสมุดมหาลัย Penn State ในแต่ละเดือน พวกเขาถูกบังคับให้นำ E-book หลายพัน หลายหมื่นเล่ม ออกไปโดยที่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมหาลัยไม่ใช่เจ้าของ license แค่มีสิทธิ์ใช้งานเฉยๆ

ซึ่งถ้าฟังเต็มๆ Edmunds จะพยายามสื่อว่ามันเป็นปัญหาที่ตัวระบบ:

  • ทั้งเรื่องการผูกขาดของสำนักพิมพ์ทางวิชาการที่มีไม่กี่เจ้าที่ทำให้เกิดราคาที่สูงเกินจริง
  • เรื่องสิทธิ์การใช้งาน
  • รวมถึงเรื่องความไม่สมเหตุสมผลที่มหาลัยและบุคคลากรเป็น “ผู้สร้างความรู้” แต่สุดท้ายต้องเอาไปให้สำนักพิมพ์ตีพิมพ์ แล้วก็ต้องจ่ายเงินแพงๆเพื่อเข้าถึงความรู้ที่สร้างเองอีก

สถานการณ์ E-Book ในไทย #

กลับมาๆ เห็นปัญหาที่มหาลัยเมืองนอกกันแล้ว กลับมาชวนคุยกันบ้าง

ทุกวันนี้เรามีผู้ให้บริการ E-Book กันอยู่หลายเจ้าทั้งไทยและต่างประเทศ เช่นๆ:

  • Kindle - อันนี้ใครซื้อเครื่องเค้ามาก็ต้องใช้น่ะนะ (แต่เครื่องดีจริง)
  • Meb - เจ้าใหญ่ของไทยตอนนี้
  • Pinto - น้องใหม่ที่จริงๆก็อยู่มานาน แค่ย้ายมาจาก app เหลืองๆ

และเจ้าในไทยเองก็เริ่มมี support E-Reader ที่เป็น Android มากขึ้น แต่หนังสือที่ผมอยากอ่านก็มักจะอยู่ใน PDF format มากกว่าไม่ใช่ EPUB ก็ไม่ได้ใช้ความสะดวกของ E-Reader เต็มศักยภาพอยู่ดี

เทียบราคา E-Book vs หนังสือจริง #

ไหนลองหยิบสักเล่มมาเทียบราคา

Million Dollar Weekend ของ Noah Kagan

  • Kindle: 353 บาท
  • Pinto กับ Meb: 255 บาท (แปลไทย E-Book)
  • Shopee: ประมาณ 285 - 300 บาท (แปลไทย เล่มจริง)
  • เว็บสำนักพิมพ์: 270 บาท (แปลไทย เล่มจริง)

(ราคาวันที่ 30 พ.ย. 2568)

ถ้าเป็นคนใช้ Kindle อย่างผมมีแค่ยอมจ่ายให้ Kindle จบๆ เพื่อความสะดวกหรือซื้อเล่มจริงที่ถูกกว่า

Trade-offs ระหว่างทางเลือก #

ซื้อผ่าน Kindle:

  • ผมไม่ได้เป็นเจ้าของ ผมได้แค่สิทธิ์ หนังสือจะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้
  • แต่!! มันเป็น EPUB โว้ย มันอ่านง่าย สะดวกสบายที่สุด ไม่ว่าจะอ่านบนจอไหนก็สะดวก
  • แต่จ่ายแพงกว่า

ซื้อเล่มจริง:

  • ผมได้หนังสือ ผมเป็นเจ้าของ ผมขายต่อให้เพื่อนได้
  • มันแปลไทยแล้วด้วย ถูกกว่าอีกต่างหาก
  • แต่ว่าผมต้องแบกมันไปทุกที่ถ้าอยากอ่านมัน

เอาจริงๆ ผมลังเลเลยนะ มันเป็น trade-off ที่ก็ดูสู้กันได้สมน้ำสมเนื้อ แต่ไหนๆก็ซื้อมาดอง ยังไม่รีบละกัน คิดก่อน!

ส่วนคนที่ใช้ E-Reader ตระกูล Android ผมว่าก็ง่ายหน่อย อ่านใน app ได้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องอึดอัดกับความเป็น PDF ก็เล่มนี้มีแค่ PDF จริงๆ (แพ้ Kindle นิดนหน่อยเรื่องความสะดวก แต่ชนะเรื่องราคา)

อนาคตของ E-Book อาจเปลี่ยนไปด้วย AI #

แต่ผมว่าเกมอาจจะเปลี่ยนเล็กน้อยในอนาคต

พอหาข้อมูลเพิ่มทั้งใน Youtube และ TikTok มีคนพยายามแก้ปัญหาการ trade-off นี้ ผมเริ่มเห็นคนแชร์การใช้ app มือถืออย่าง vFlat (ไม่ได้สปอน!!) มา scan หนังสือทั้งเล่มเพื่อให้ได้ PDF ไปอ่านบน E-Reader ของตัวเอง ก็ทำให้ได้ทั้งหนังสือจริง และพกไปอ่านที่ไหนก็ได้ง่ายเหมือนกัน

แต่การมาของ LLM และ Multi-modal model ที่สามารถเข้าใจภาพและถอดข้อความออกมาได้เป๊ะๆ มันน่าจะช่วยทำให้การเปลี่ยนจาก PDF ไปสู่ EPUB ทำได้ smooth และแนบเนียนมากขึ้นโดยเฉพาะหนังสือที่มีภาพประกอบในเนื้อหา

ต่อไปเราอาจจะซื้อหนังสือจริงๆมาแล้ว scan ด้วยมือถือ จ่ายเงินเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ได้ EPUB ดีๆไปอ่านบน Kindle หรือ Boox ของตัวเองก็ได้ แล้วหนังสือก็ยังเป็นของเรา อยู่กับเราไม่มีใครลบมันออกจาก store ได้ การ trade-off อาจจะเลือกง่ายขึ้นกว่าตอนนี้มากๆ

แต่ห้ามเอาไปแจกคนอื่น “มีโทษนะ”