Skip to main content

เทคนิค Active Listening จากพี่แจ็ค The Ghost Radio

ณ ตอนนี้คงจะมีน้อยคนที่ยังไม่รู้จักช่อง Youtube เล่าเรื่องสยองขวัญอย่าง The Ghost Radio เพราะถ้านับจากยอดวิวหลักหลายล้านต่อเดือน มันเป็นตัวการันตีความสำเร็จของช่องนี้มากๆ

ซึ่งความสำเร็จของ The Ghost Radio มันมากมายขนาดนี้ มันก็ทำให้ผมสงสัยแหละว่า ทำไมน้าาา การจัดรายการให้คนมาเล่าเรื่องผีเนี่ย! มันควรเป็นของที่ใครๆก็ทำได้สิ ทำไมมันมีเด่นๆ แค่ The Ghost Radio ที่โตคู่มากับ The Shock แค่นั้นเอง… การจัดคิวให้คนมาเล่า แล้วนัง่ฟังนี่มันไม่ใช่ของที่ใครๆก็ทำได้หรอกหรอ??

ผมเลย focus ไปที่ตัวหลักของช่อง ซึ่งก็คือ “พี่แจ็ค - วัชรพล ฝึกใจดี” ที่อยู่หน้าไมค์ “รับฟัง” เรื่องเล่ามาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเรื่อง บางวันฟังกันยันเช้า

ในโพสต์นี้เราเลยจะมาดูกันว่าพี่แจ็ค ทำอะไรบ้างในเรื่องเล่าหนึ่งตอนหรือกับสายที่โทรเข้ามาหนึ่งสาย ทำไมการโทรมาเล่ากับพี่แจ็คมันถึงดูมีอะไรพิเศษมากกว่าโทรหาคนอื่น (นอกจากว่าช่องนี้ดัง)

1. ไม่ปล่อยให้เงียบ 🔕 #

พี่แจ็คใช้คำสั้นๆกับคนที่โทรมาเล่าแทบจะตลอดเวลา เช่น:

  • ครับ (แบบแหบๆเบาๆ) / อือ / อืม / เออ: เพื่อยืนยันว่ายังฟังอยู่ เป็นการตอบสนองกับปลายสาย
  • อ๋อ: ใช้แสดงความเข้าใจในเนื้อเรื่อง

2. React ทันที และดูจริงจัง 🫨 #

นอกจากตั้งใจฟังเรื่องเล่าแล้ว พี่แจ็คยังแสดงออกความรู้สึกไปตามสถานการณ์ของเนื้อเรื่องไปด้วย:

  • “อุ้ย ทำไมฟังแล้วขนลุก”: ตอนได้ยินเรื่องความเชื่อเรื่องวิญญาณ (เรื่อง 5 วันหลังพบศพ)
  • “โอ้โห ผมว่าแรงแล้วนะ”: ตอนยายเลียแผลที่เท้าเพื่อน (เรื่องคืนสยองของผม)
  • “อู้หู 150 โล เพื่อผู้!”: ตอนผู้เล่าบอกว่าขี่รถ 150 กม. ไปหาผู้ชาย (เรื่องไม่น่าเลยกู)

วิธีนี้ทำให้คนเล่ารู้สึกว่า มีคนกำลังสนใจจริงๆ และเพิ่มความมั่นใจให้คนเล่าได้ดีด้วย

3. ทวนความเข้าใจตลอดทาง ✅ #

ในบางจังหวะ บางเรื่องผู้เล่าอาจจะตื่นเต้น หรือเรียบเรียงคำพูดออกมาไม่ทัน พี่แจ็คก็จะคอยเสริมด้วยการสรุปเนื้อเรื่องขณะนั้นก่อนอีกรอบนึง เช่น:

นักเล่า: (เล่าเรื่องยุ่งๆ เกี่ยวกับการแยกกลุ่มเพื่อนไปเที่ยวภูกระดึง)

พี่แจ็ค: ก็คือ ปล่อยให้เพื่อนไปเที่ยวแหละ โดยที่เอาคนเจ็บเนี่ยกลับมาก่อน เอามารักษาตัวก่อน หลังจากนั้นช่วงเย็นเนี่ย เพื่อนก็ตามลงมา แล้วก็มาเจอเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น

การทำอย่างนี้นอกจากจะช่วยให้คนฟังทางบ้านเข้าใจตามได้ ช่วยลดความตื่นเต้นของสายที่โทรมาเล่า แล้วก็ยังทำให้เห็นว่าตั้งใจฟังอยู่จริงๆ

4. แทรกเพื่อ “ช่วย” ในเวลาที่ถูกต้อง 📍 #

จากการสังเกตเราจะเห็นได้ว่าพี่แจ็คไม่ลังเลที่จะพูดแทรก แต่แทรกในจังหวะที่ถูกต้อง ตามสถานการณ์ต่อไปนี้:

  • ควบคุมจังหวะ: บอกให้นักเล่าพูดช้าๆ ไม่ต้องรีบ เมื่อเห็นว่ากำลังตื่นเต้น
  • ถามขยายความ: ถามคำถามเกี่ยวกับตัวเนื้อเรื่อง เมื่อรู้สึกว่าข้อมูลในเรื่องยังไม่ชัดเจน หรือดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล
  • แก้ไขปัญหาเทคนิค: บอกให้ขยับมือถือเมื่อเสียงไม่ชัด หรือตัดสายต่อใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างเล่า

ทุกๆการแทรกของพี่แจ็ค จะให้เหตุผลเพื่อประโยชน์ของทั้ง “คนฟัง” และ “นักเล่า” เอง และต้องไม่ทำให้ผู้เล่าต้องรู้สึกว่ากำลังโดนตำหนิ

5. สร้างความเป็นกันเองด้วยการแซว 😏 #

เราจะเห็นว่าพี่แจ็คแซวคนเล่าอยู่ตลอด ไม่ว่าจะช่วงเริ่ม หรือระหว่างเล่า เช่น:

  • แซวตัวละครในเรื่อง: “ไม่กลับหรอลูก… กลับ กลับ ออย… ผู้ชายชวนทีเดียว นอนก็ได้… โอ้ย ตายแล้ว” (ไม่น่าเลยกู)
  • แซวชื่อเรื่อง: “งั้น มี 2 เรื่อง เอาเรื่องที่ 3 ก่อน” (ยายถด)
  • แซวคนเล่า: “เดี๋ยวค่อยว่ากันเรื่องของกินนะ เดี๋ยวเกรงใจคนฟังเค้า มาว่ากันถึงเรื่องผีก่อนดีกว่า” (คืนเดินป่าญาแถน)

การแซวของพี่แจ็คช่วยได้เยอะมาก ทั้งการสร้างบรรยากาศให้สนุก ตลก หรือลดความตื่นเต้นของคนเล่า ไปจนสร้างความสนิทสนมกับคนเล่าไปด้วย

6. สรุปความรู้สึกและเสริมข้อคิดในตอนท้ายเสมอ 🥸 #

แทนที่จะปล่อยให้นักเล่าจบเรื่องแล้วก็วางสายไป พี่แจ็คให้เวลาเพื่อ:

  • สรุปเนื้อเรื่องทั้งหมดอีกครั้ง
  • ฝากข้อคิด อุทาหรณ์ ให้คนฟังทุกคน

สิ่งนี้จะให้นักเล่ารู้สึกว่าเรื่องของเขา “มีคุณค่า” และ “มีความหมาย” ไม่ใช่แค่เรื่องผีเฉยๆ

🎯 ขอแบบสั้นๆ #

พี่แจ็คไม่ได้รับสาย แล้ว “ฟัง” ไปอย่างเดียว แต่ “ร่วมเดินทาง” กับนักเล่าไปตลอดเส้นทาง ความเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง ทำให้ผู้เล่ารู้สึกปลอดภัย มีคนที่เข้าใจและอยู่กับเขาตลอดเวลา จนจบเดินทาง

ใครกำลังสนใจพัฒนาทักษะ Active Listening “พี่แจ็ค” คือตัวอย่างที่ดีมากๆคนนึงในไทยเลยล่ะครับ


🤖 แถมเรื่องเครื่องมือบ้าง!! #

แล้วผมสรุปข้อมูลทั้งหมดนี้ยังไง? ผมนั่งฟังทุกตอนเลยหรอ ตั้ง 9 เรื่อง แต่ละเรื่องนี่ก็ยาวเป็นชั่วโมงแล้ว

ถ้าผมนั่งฟังเต็มๆ ก็หมดวันแน่นอน และผมอาจจะไม่เหลือสติมานั่งสรุปอะไรได้แล้ว ดังนั้น ผมเลยเลือกใช้ตัวช่วยอย่าง Google AI Studio แทน เพราะว่าเขามี feature ที่ให้เราใส่ System Prompt ได้เอง แล้วก็สามารถแนบ URL ของ Youtube ไปได้เลยทีละคลิป แล้วก็ถอดข้อมูลการพูดของพี่แจ็คทำออกมาเป็นรายการทีละตอน ซึ่ง Gemini 3 Pro ใช้เวลาแค่เรื่องละประมาณ 1 นาทีเอง ถ้านั่งดูเองก็นู่นเลยยาวๆไป

System Prompt ที่ใช้ #

“System Prompt” ของผมจะบอกให้ AI มันทำตัวเป็นนักวิเคราะห์ podcast ที่จะคอยสังเกตการพูดตั้งแต่ต้นจนจบคลิปโดยผมจะแบ่งหัวข้อตามนี้ครับ (ฟังบ่อยจนแบ่งหัวข้อได้ 🤣):

  • การพูดเปิด
  • ระหว่างเล่า
    • คำ วลี ที่ใช้ไม่ให้เงียบ
    • การตอบสนองกับเรื่องเล่า
    • การทวนคำพูดจากผู้เล่าให้เป็นภาษาตัวเอง
    • การพูดแทรก
  • ปิดท้ายเรื่อง

แล้วไม่ใช่แค่สรุปนะ ผมให้มันเขียนคำตัวอย่างออกมาด้วยทั้งหมดที่เจอในคลิป เพื่อเช็คด้วยตอนทวนสอบว่า AI ไม่ได้หลอนพี่แจ็คพูดจริงๆ เอาไป search ดูในคลิปได้

ขั้นตอนการวิเคราะห์ #

หลังจาก Save คำตอบจาก Gemini ลงมาที่ไฟล์ Markdown 9 ไฟล์ ผมก็โยนทั้งหมดให้ Claude Project อีกทีว่าจากทั้ง 9 เรื่องมีข้อสังเกตอะไรที่เราได้มา และเห็นเป็น pattern เดียวกัน (หรือจะใช้ NotebookLM ก็ได้นะครับเป็นข้อมูล text ที่สรุปมาแล้ว สบายเลย)

📍 ทำไมไม่ใช้ NotebookLM #

จากที่ผมเข้าใจเอาเองตอนนี้ ผมคิดว่า NotebookLM ไม่ได้ส่ง video ไปให้ model วิเคราะห์ตรงๆแต่จะเป็นการถอด text ออกมาเก็บเป็น source แทนมากกว่า เพราะผมลองถามว่ามองเห็นอะไรใน video เวลาเท่าไหร่แล้ว NotebookLM ตอบไม่ได้ แต่ Google AI Studio ตอบได้เป๊ะ ตอบได้ยันเวลาที่พี่แจ็คยกมือขึ้นมาเวลาไหนบ้างน่ะ

หวังว่าจะเป็นอีก use case ที่ช่วยให้เห็นภาพการใช้ AI กับการช่วยสังเกตสิ่งต่างๆ ที่อยู่ใน video นะครับ มันไม่ได้มีแค่สรุปข้อมูล แต่เราสามารถสกัดเอา pattern หรืออะไรบางอย่างจากหลายๆ video ก็ได้เช่นกัน 🤓