อยากเห็นผลเร็วไม่ใช่แค่ต้อง "โฟกัส" แต่ต้องกล้าพูดคำว่า "ปฏิเสธ"
Table of Contents
ใกล้สิ้นปีแล้ว จำกันได้ไหมครับว่าปีที่แล้วตั้ง New Year’s Resolution กันไว้ว่ายังไง ของผมเองบอกเลยว่าปีนี้ยับมากๆ ยับสุดๆ ไม่ตรงสักอย่าง ไม่รู้เพราะตั้งไว้หลายข้อเยอะแยะไปหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ และผมก็คิดว่าหลายคนก็คงเป็นเหมือนกัน
แน่นอนว่าเมื่อเราเห็นปัญหาเกิดขึ้นแล้วตรงหน้า เราก็ต้องหาทางแก้ โดยวิธีที่ผมเลือกหาทางแก้ก็คือ… Youtube (อีกแล้ว 🤣) ไถไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับ video นึงชื่อ “How to Make Rapid Progress by Doing Less” จากช่อง “Leon Hendrix” คือ เขาเป็น Youtuber สาย self-improvement กับ productivity ที่มีคนติดตาม 600k เลย ที่สนใจเพราะเอา Steve Jobs มาแปะในปกด้วยเลยลองคลิกไปดู และวันนี้จะลองเปลี่ยนรูปแบบการเล่า เป็นการสรุปที่สั้นกว่าเดิม เป็น 5 ข้อคิดที่จะทำให้คุณ “ทำน้อย” แต่ได้มากและเห็นผลเร็ว
1. ผลลัพธ์มันไม่ได้มาแบบเป็น linear แต่เป็น exponential #
Leon เล่าว่าใน 9 เดือนแรกของการทำช่อง Youtube ของเขามีผู้ติดตามแค่ 3,000 แต่อีก 3 เดือนถัดมาก็ทะลุ 100,000 ซับ เราต้องใช้ความอดทนและสม่ำเสมอในการทำมันไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผ่านช่วงที่ไม่มีใครรู้จักหรือมองเห็นคุณหลังจากนั้นมันจะทรงพลังเหมือนดอกเบี้ยทบต้นเอง (Compounding)
เขาเปรียบเทียบกับการปล่อยจรวดออกนอกชั้นบรรยากาศ ซึ่ง 90% ของเชื้อเพลิงใช้เพื่อแค่หนีแรงโน้มถ่วงโลก ถ้าเราเลือกที่จะแบ่งเชื้อเพลิงออกไปให้จรวดหลายๆลำ ลำละ 20% รับรองว่าคุณไม่สามารถหลุดจากแรงโน้มถ่วงได้แน่นอน
2. ทักษะของการ “ปฏิเสธ” สำคัญกว่าการ “โฟกัส” #
คนส่วนใหญ่เข้าใจคำว่า “โฟกัส” ผิด เช่น การที่คุณถือ project ในมือ 3 ตัวแล้วสลับกันโฟกัสตามช่วงเวลา แต่จริงๆแล้วในหัวคุณดันถือทุก project ไว้หมดเลย ซึ่งการทำแบบนี้มันจะทำให้คุณกลายเป็นนักสะสม project มากกว่าการโฟกัสจริงๆ
ยกตัวอย่าง Steve Jobs ในช่วงปี 1997 เขากลับมากู้วิกฤตของ Apple โดยเริ่มจากการ “ตัด” product line ทิ้งไป 70% ซึ่งที่ตัดไปนี่รวมถึงของที่ดีและทำเงินได้อยู่แล้วด้วย เพราะคำถามที่สำคัญที่สุดไม่ใช่
“อะไรที่ควรทำ?”
แต่เป็น
“อะไรที่ดีแต่ไม่ควรทำตอนนี้?”
3. อย่ามองแค่ “เวลา” ที่ใช้ไป แต่ให้ดู “พื้นที่ในหัว” #
ในคลิป Leon ยกตัวอย่างเพื่อนที่ทำบริษัท AI ที่มีโอกาสเติบโตมหาศาล แต่ก็ยังปล่อยเช่าอสังหาฯ เล็กๆอยู่ด้วย ถึงแม้เขาจะใช้เวลากับงานนี้แค่สัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมง เพื่อติดต่อกับผู้เช่าและแก้ปัญหาห้องพัก แต่ในหัวของเค้า แค่มีเคสผู้เช่าทะเลาะกันเคสเดียว เขาก็คิดวนเรื่องนี้ทั้งสัปดาห์แล้ว
อย่าลืมสังเกตว่าสิ่งไหนที่เปลืองพลังสมองของคุณ ถึงแม้เราอาจจะอยู่กับตัวงานจริงๆไม่นานก็เถอะ ตัดได้ตัด
4. รู้จักใช้โหมด Immersion (จดจ่อ) กับ Maintenance (รักษาไว้) #
เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ ให้ดูที่วงการเล่นกล้าม:
- Immersion mode: ช่วงสร้างกล้ามเนื้อ คือช่วงที่คุณต้องโคตรตั้งใจและจดจ่อกับมันมากๆ ทั้งการกิน การนอน ออกกำลัง
- Maintenance mode: แต่เมื่อคุณได้กล้ามตามต้องการแล้ว การรักษาไม่ให้มันหายไปมันง่ายกว่า ใช้เวลาน้อยกว่า
คุณต้องรักษาสมดุลในแต่ละเรื่องให้ได้ แยกให้ออกว่าเรื่องไหนที่ยังต้องจดจ่อกับมันมากๆ เพื่อให้ถึงเป้าหมายหรือเติบโต หรือเรื่องไหนที่เราโอเคแล้ว แค่ไม่ทำให้มันแย่ลงก็พอ
5. อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนทุกไอเดียเป็น project #
ไอเดียดีๆมันเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น เดินเล่น, ฟัง Podcast Leon เองก็บอกว่าตัวเองเป็นสาย “ได้ไอเดียปุ๊บ ก็อยากทำปั๊บ” ซึ่งมันทำให้ทิศทางของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ได้ไปไหนสักที
แต่ตอนนี้แทนที่จะรีบตะคุบไอเดียใหม่ๆ ไปทำจริงๆเลย เป็น:
- จดลง note ไว้ก่อน สร้างเป็นคลังไว้เลยก็ได้ (PARA method ของ Tim Ferris ก็ช่วยนะครับ อันนี้แถมเอง)
- กลับมาอ่านใหม่หลังจากทบทวนหลายๆรอบแล้ว
- แล้วจะพบว่า 99% ของไอเดีย ที่คิดไว้ มันก็ไม่ได้ว้าวขนาดนั้น ไม่ต้องรีบทำตอนนี้ก็ได้
- ส่วน 1% ที่มันยังอยู่รอด อันนั้นค่อยหยิบมาโฟกัสกันจริงๆ
🎯 สรุปแบบสั้นๆ #
ผมว่าใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ ก็น่าจะคิดเหมือนผมคือ มันไม่ได้มีอะไรใหม่เท่าไหร่ แต่ปัญหาคือ เรานั่นแหละที่เบรคตัวเองให้โฟกัสกับสิ่งที่ควรจะตั้งใจทำจริงๆ ไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง! พลังสมองเรามีจำกัด เลือกโฟกัสกับสิ่งที่ทำให้เราพุ่งไปข้างหน้าจริงๆดีกว่า อะไรที่มันรกสมองเกินไปก็ตัดออกไปบ้างก็ได้
ตามไปดูเต็มๆได้ที่ลิงค์นี้เลยนะครับ