Skip to main content

รู้จัก Popular Times ใน Google Maps ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้คุณไม่ต้องรอคิว

เห็นข่าวห้างใหญ่เข้าซื้อหุ้นร้านสุกี้ชาบูในราคาเกือบพันล้าน มันทำให้ผมรู้สึกว่าสงครามนี้ไม่จบง่ายๆแน่นอน แต่ว่าสงครามมันไม่ได้อยู่ในฝั่งของเจ้าของธุรกิจอย่างเดียวนี่สิครับ ทุกครั้งที่มีการจัดโปรโมชั่นไม่ว่าร้านไหนก็ตามมันเกิดสงครามแย่งโต๊ะของลูกค้าด้วยเหมือนกัน

แต่ตำราพิชัยสงครามซุนวูกล่าวไว้ว่า “ผู้ที่รู้ว่าเมื่อใดควรรบ และเมื่อใดไม่ควรรบ จะเป็นผู้ชนะ”

จะดีกว่าไหม ถ้าผมรู้เวลาที่ควรไปร้านโดยไม่ต้องออกแรงหรือนั่งรอคิวอันยาวเหยียด เราสามารถอ่านสถานการณ์ของสงครามนี้ได้ตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องอยู่หน้าร้าน สิ่งนี้ไม่ใช่ของใหม่ มันเป็น feature ที่อยู่ใน Google Maps มาเกือบ 10 ปีแล้ว มันคือ Popular Times

วิธีใช้นั้นง่ายๆ #

เพียงคุณเปิด Google Maps ไม่ว่าจะบนคอมหรือมือถือ แล้วค้นหาตำแหน่งร้านที่คุณจะไป คุณก็จะเห็นคำอธิบายใต้ชื่อร้านบอกประมาณนี้ (ใครไม่เคยสังเกตสารภาพมาซะดีๆ):

  • busier than usual - คนเยอะกว่าปกติ
  • less busy than usual - คนน้อยกว่าปกติ
  • not busy - ไม่มีคน

คำอธิบายพวกนี้มีไว้ช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ความหนาแน่นของร้านในปัจจุบัน (Live)

แต่อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกครับ เราต้องรู้ว่า “เมื่อใดควรรบ” ถ้าเราเลือกกดเข้าไปดูข้อมูลร้านที่เราอยากจะไป แล้วลอง scroll ลงมาเรื่อยๆ เราจะเห็นกราฟแท่งวางเรียงรายเพื่อบอกความหนาแน่นในแต่ละช่วงเวลา

สิ่งนี้แหละคือเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เราเลือกวางแผนได้ว่าเราควรจะไปออกศึกสุกี้ในช่วงเวลาไหน วันไหน (มันเปลี่ยนวันได้ด้วยนะ ไม่จำเป็นต้องดูวันปัจจุบัน) เพียงเท่านี้ เราก็เพิ่มโอกาสเป็นผู้ชนะที่ไม่ต้องนั่งรอคิวหรือไปยืนคอตกหน้าร้านเพราะท้อกับคิวได้แล้ว ยกเว้นว่าวางแผนมาอย่างดี แต่ซวยเพราะวันนั้นร้านดันจัดโปรใส่พอดี ซึ่งมันเป็นไปได้นะครับเจ้าของธุรกิจเองเขาก็อยากกระตุ้นช่วงเวลาที่ลูกค้าน้อยเหมือนกันไง

ไหนๆก็รู้แล้วว่ามันใช้ยังไง เพราะมันก็อยู่มานานเกือบสิบปีแล้ว มารู้จักมันเพิ่มสักหน่อยดีกว่า

1. Google ใช้ข้อมูล Location จาก “คุณ” #

Google ไม่ได้เดา แต่ใช้ข้อมูล Location จาก “คุณ” ใช่.. คุณนั่นแหละ คนที่เปิด Location History เอาไว้ เมื่อไหร่ที่คุณเปิดไว้มือถือของคุณก็จะคอยส่งพิกัดว่าคุณอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ (แบบไม่ระบุตัวตน ไม่มีใครรู้ว่านั่นคือข้อมูลของคุณ) แล้ว Google ก็จะเอาข้อมูลเหล่านี้ไปดูว่า “มีคนอยู่ที่ร้าน X กี่คน ณ เวลานี้”

2. ทำงานได้ทั้งแบบ “สด” และ “ย้อนหลัง” #

(เหมือน The Ghost Radio เลยแฮะ) คือ:

  • Popular Times: จะใช้ค่าเฉลี่ยของคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้น เช่น ร้าน X วันศุกร์ 2 ทุ่มคนเยอะ
  • Live busyness: เป็นข้อมูลเกือบจะ real-time เพื่อเอาไว้สังเกตว่าตอนนี้มีคนมากหรือน้อยกว่าปกติหรือเปล่า

3. ใช้ Machine Learning มาช่วยจัดการ #

ใช้ Machine Learning มาช่วยจัดการ noise ในข้อมูลด้วย เช่น สัญญาณ GPS ที่เพี้ยน หรือแยกให้ออกว่าคนนี้กำลังยืนรออยู่หน้าร้านหรือแค่ขับรถผ่านเฉยๆ

โดยกราฟนี้จะแสดงใน Google Maps เองเมื่อระบบมั่นใจว่ามีข้อมูลมากพอที่จะประเมินความหนาแน่นของคนได้จริงๆ

แล้วมันแม่นจริงมั้ย? #

เมื่อ 8 ปีที่แล้วสำนักข่าว The Guardian เคยส่งทีมไปทดสอบ onsite กับข้อมูล Google พบว่า 4 ใน 5 สถานที่ ข้อมูล “Live Busyness” ตรงกับสถานการณ์จริงเป๊ะๆ เลย เช่น:

  • ร้านกาแฟคนแน่น → กราฟเด้งขึ้น
  • พิพิธภัณฑ์เงียบ → กราฟก็ตก

สรุปแบบสั้นๆ #

“หิวครับ” ไปกินข้าวกัน แต่ถ้าไม่อยากรอคิวก็เปิด Google Maps เช็คดูก่อนด้วย ข้อมูลเชื่อถือได้ระดับนึงเลย เพราะคุณเองนั่นแหละเป็นคนให้ข้อมูลเขาเอง